วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

กรุงศรีฯดันผลตอบแทนผู้ถือหุ้น15%

 แบงก์กรุงศรีฯยันหลังการทำธุรกิจระยะยาวมุ่งพัฒนาทั้งโปรดักต์-เครือข่ายตอบโจทย์/สนองลูกค้าทุกกลุ่ม เผยแผนระยะกลาง 3-5 ปีดันผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น 15%ขณะที่ปีนี้สั่งทีมเกาะติดซัพพลายเชน- หวังขยายสินเชื่อบรรษัทขนาดใหญ่ไปตปท.และโครงสร้างพื้นฐาน
 การที่ธนาคารแห่งโตเกียวมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ (BTMU) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนซ์ กรุ๊ป(MUFG)เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 72%ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน(บมจ.)โดยกลุ่มรัตนรักษ์คงสัดส่วนถือหุ้น 25% ที่เหลือเป็นรายย่อยอีก 3% ซึ่งนับเป็นธนาคารอันดับ 5 ของธนาคารพาณิชย์ไทยโดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ 2.28 แสนล้านบาทเป็นอันดับ 14 ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)
    นายโนริ  โมโกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด(มหาชน)(บมจ.) เปิดเผย  แนวทางการดำเนินธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์คือ รวมกันทำให้มีจุดแข็งซึ่งกันและกันคือ เดิมธนาคารมีความแข็งแกร่งและมีส่วนแบ่งทางการตลาดกลุ่มลูกค้ารายย่อยเป็นอันดับ 1 เมื่อผนึก BTMUทำให้มีซัพพลายเชนไทยและญี่ปุ่นซึ่งบริษัทที่ต้องการขยายกิจการหรือลงทุนต่างประเทศจะมี BTMU ซึ่งเป็นธนาคารระดับโลกให้คำแนะนำ อีกทั้งบริษัทญี่ปุ่นที่มีอยู่ในไทยยังมีพนักงานกว่า 6-7 แสนคนเหล่านี้จะเป็นฐานลูกค้าที่บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยาสามารถต่อยอดธุรกิจทั้งบริการและโปรดักต์นอกจากบัญชีเงินเดือนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดโอกาสในการทำธุรกิจและก้าวสู่ธนาคารลุ่มแม่น้ำโขงและเอเชีย
    ต่อข้อถามถึงแนวโน้มผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นนั้น นายโนริอากิ โกโตะ ยืนยันว่านโยบายของ BTMU มุ่งลงทุนระยะยาวโดยคาดหวังที่จะเห็นผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับ 15%   ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างจัดทำแผนระยะกลาง  อย่างไรก็ตามปัจจุบันความเพียงพอของเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่มีอยู่ในระดับ 14.7%โดยมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ 10.2% เชื่อว่าเงินกองทุนที่แข็งแกร่งดังกล่าวจะตอบสนองกับการเติบโตของธุรกิจและสินเชื่อในอีก 2-3ปีข้างหน้า ทั้งนี้แนวโน้มโครงสร้างสินเชื่อ3ปีข้างหน้ากลุ่มรายย่อยจะมีสัดส่วน40% รายใหญ่และเอสเอ็มอี 60% จากปัจจุบันรายย่อยมีสัดส่วน 50% ธุรกิจรายใหญ่26% ธุรกิจเอสเอ็มอี 24%
    ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2557 มีการชะลอตัวของเศรษฐกิจจึงคาดว่าอัตราการเติบโตสินเชื่อจะอยู่ที่ระดับ 7-9%(9%มูลค่า.......)ซึ่งมองว่ายังเป็นอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง บนสมมติฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ฝ่ายวิจัยปรับประมาณการเหลือ 2.5-3%  โดยที่ธนาคารยังให้ความสำคัญการบริหารความเสี่ยงและมุ่งเน้นความรอบคอบและเพิ่มความเข็มงวดและรัดกุมมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อรวมถึงการติดตามเร่งรัดเก็บหนี้
    " แม้ยังควบรวมกิจการระหว่างฺ BTMU สาขากรุงเทพฯยังไม่เสร็จแต่มีแผนจะปล่อยสินเชื่อซัพพลายเชนซึ่งเป็นโอกาสในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรในปีนี้โดยที่ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะซบเซาแค่ไหนที่สำคัญการเติบโตสินเชื่อที่ระดับ 9%นั้นจะโฟกัสกลุ่มเอสเอ็มอีและธุรกิจรายใหญ่ ที่ธนาคารตั้งใจจะปล่อยกู้ทั้งซัพพลายเชน โดยเฉพาะบรรษัทขนาดใหญ่ที่ยังมีความต้องการสินเชื่อเพื่อไปขยายหรือลงทุนนอกประเทศและธุรกิจบรรษัทเหล่านี้จะมีความทนทานต่อสถานการณ์ที่อ่อนไหวได้"
    เมื่อถามถึงแผนการดำเนินงานในระยะ 3-5ปีนั้น นายโนริอากิ โกโตะกล่าวว่าตั้งใจจะบริหารธนาคารแห่งนี้ให้เป็นองค์กรที่ครบเครื่องทั้งโปรดักต์และตอบสนองบริการลูกค้าทุกกลุ่มอย่างครอบคลุมและสามารถเดินไปข้างหน้าระยะยาว  ในปีนี้อยู่ระหว่างควบรวม BTMU สาขากรุงเทพฯซึ่งทำธุรกิจในไทยมาแล้ว 50ปี และเป็นธนาคารต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย  เมื่อควบรวมกับบมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา นอกจากจะเสริมให้ธุรกรรมลูกค้าบริษัทต่างชาติหรือบริษัทระดับโลกติดต่อได้ง่ายขึ้นด้วยสายสัมพันธ์ของ BTMU แล้วยังเพิ่มความหลากหลายและมีความสามารถทำตลาดและให้บริการลูกค้ามากขึ้นโดยไม่ทิ้งรายย่อย
    ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ ซีอีโอมองว่า ยังไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจะซบเซาแค่ไหน  อีกทั้งยังยากต่อการจะคาดการณ์แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)จะเพิ่มหรือลด แต่เอ็นพีแอลเริ่มขยับขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนซึ่งสัญญาณไตรมาสแรกของปีนี้ยังทรงตัว แต่โดยรวมจะพยายามรักษาระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับ 2.5%จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 2.7% คิดเป็นมูลค่า 17 พันล้านบาทซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเอ็นพีแอลของธนาคารทยอยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง 
    ขณะที่ 5ปี(2552-2556)สินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์เติบโตต่อเนื่องเห็นได้จาก  อัตราส่วนของการเจริญเติบโตเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ 11% สิ้นปีก่อนอยู่ที่ 13.7% ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจสะท้อนยุทธศาสตร์การบริหารความเสี่ยงของธนาคาร โดยสินเชื่อรายย่อยเติบโต 15.4% สินเชื่อธุรกิจ 15%สินเชื่อเอ็สเอ็มอี 9% สอดคล้องกับกับเงินรับฝาก ตั๋วแลกเงินและหุ้นกู้เติบโต12%(เฉพาะเงินฝากโต 11%ซึ่งมีเงินฝากออมทรัพย์และสะสมทรัพย์อยู่ที่ 53%) ด้านความสามารถในการทำกำไรยังคงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิให้อยู่ในระดับ 4.2%
    สำหรับนโยบายจ่ายเงินปันผลนั้น สิ้นปี 2556 แม้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัวคณะกรรมการของธนาคารยังคงระดับจ่ายเงินปันผลในอัตรา 40.9%ของกำไรสุทธิรวม 1.18 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 0.80สตางค์ต่อหุ้นที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.40%ที่เหลือกำหนดจ่ายในวันที่ 7พฤษภาคม 2557


ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  หน้า14 ปีที34 ฉบับที่ 2,939 วันที่ 13-16 พ.ศ.2557 ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น