สารจากประธานกรรมการ





เรียนท่านผู้ถือหุ้น


ปี 2556 นับเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา (กรุงศรี) เมื่อมองย้อนหลังในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา บนเส้นทางที่เปี่ยมด้วยความฝัน วิสัยทัศน์และความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะรักษาสถานะและเสริมสร้างกรุงศรีให้คงเป็นสถาบันการเงินชั้นนำตลอดทาง เส้นทางนี้ไม่ได้ผ่านมาโดยง่าย ไม่ใช่เส้นทางที่ประปรายด้วยแผ่นทอง แต่กรุงศรีสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยความเสียสละ ความอดทนและความมุ่งมั่นของผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งท้ายสุดได้ผลลัพธ์คือความสำเร็จตามเป้าหมาย ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจโดยทีมมืออาชีพที่มีความซื่อตรงต่อภารกิจได้มอบให้อย่างมีศักดิ์ศรี


เรื่องราวของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของกรุงศรีเริ่มขึ้นหลังวิกฤตการเงินเอเชียในปี 2540 ซึ่งเราต้องประสบความยากลำบากจากวิกฤตต้มยำ กุ้งในขณะนั้นทำ ให้กรุงศรีต้องตัดสินใจครั้งสำคัญว่า
จะรับความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือระดมเงินทุนเองกลุ่มรัตนรักษ์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่มีอำนาจในการบริหารได้เลือกภารกิจที่ท้าทาย ด้วยความมั่นใจในความสามารถของผู้บริหารและความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะรักษาธนาคารไว้ให้ได้


ในการดำรงไว้ซึ่งความเพียงพอของเงินกองทุน กลุ่มรัตนรักษ์ได้ปรับโครงสร้างทรัพยากรของกลุ่มใหม่เพื่อรองรับภารกิจที่สำคัญนี้ซึ่งในที่สุดก็ได้ประสบความสำเร็จ โดยสามารถก้าวข้ามลิขิต
ที่เลวร้ายไปได้ อย่างไรก็ดี ฐานะการเงินของกรุงศรียังคงเปราะบางและไม่สามารถเติบโตได้เทียบเท่ากับสถาบันการเงินในระดับเดียวกันจึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องโครงสร้างเงินทุน เพื่อให้

ธนาคารเติบโตต่อไปได้ ไม่ด้อยกว่าสถาบันการเงินอื่น


บทที่สองของประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของกรุงศรีจึงได้เริ่มขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกรุงศรีได้คิดแผนการที่จะทำให้ธนาคารสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงเพื่อสร้างผลกำไรและเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง และเมื่อกลุ่มรัตนรักษ์สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา การเปิดรับสถาบันการเงินที่ต้องการร่วมเป็นพันธมิตรในการถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ในธนาคารจึงเริ่มขึ้นอย่างสร้างสรรค์


บริษัท จีอี แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้ง เป็นหนึ่งในรายชื่อพันธมิตรที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ที่จะเข้าเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้วยความเข้มแข็งด้านธุรกิจสินเชื่อรายย่อย และทีมบริหารคุณภาพ จึงเป็นการผสานกำลังกันกับกรุงศรีอย่างลงตัว ส่งผลให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและราคาหุ้นที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์


ระยะเวลา 7 ปีแห่งความสำเร็จของการเป็นหุ้นส่วนร่วมกันได้สิ้นสุดลงเมื่อ จีอี แคปปิตอล ได้ทบทวนนโยบายการลงทุนและตัดสินใจขายสินทรัพย์บางส่วนออก ซึ่งรวมถึงการถือหุ้นในกรุงศรี กลุ่มรัตนรักษ์เข้าใจความจำเป็นของ จีอี แคปปิตอลและสนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าว แม้ว่าจะต้องพิจารณาสรรหาหุ้นส่วนใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้ตั้งใจว่าจะต้องเป็นหุ้นส่วนอย่างถาวรมากขึ้นณ จุดนี้ กรุงศรีมีประวัติการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม มีฐานะทางการเงินที่มั่นคง มีทีมบริหารที่มีความสามารถ มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรม ตลอดจนได้รับรางวัลมากมายหลายสาขาทั้งทางด้านวิชาชีพและจากต่างประเทศ


เรามีความพร้อมในทุกด้านที่จะพิจารณาเลือกผู้ที่เหมาะสมที่สุด เราจึงเล็งไปที่ธนาคารแห่งโตเกียว–มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัดซึ่งเป็นสมาชิกหลักของมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป(MUFG) แต่มีเพียงประเด็นเดียวที่กลุ่มรัตนรักษ์ต้องขบคิดก็คือกระบวนการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญของธนาคารโดยสมัครใจ (Voluntary Tender Offer) ที่จะเปิดทางให้ธนาคารแห่งโตเกียว- มิตซูบิชิถือหุ้นเกินร้อยละ 50 และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดที่มีอำนาจในการบริหารกรุงศรี


กลุ่มรัตนรักษ์สามารถปฎิเสธความต้องการของธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ที่จะเข้าทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญโดยสมัครใจและเลือกพันธมิตรรายอื่นที่พอใจจะเข้าซื้อหุ้นในส่วนของ จีอีแคปปิตอล คือเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น แต่หลังจากการพิจารณาวิเคราะห์และประเมินผลประโยชน์ในระยะยาวต่อธนาคารสรุปได้ว่าการมีธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิเป็นผู้ถือหุ้นที่มีอำนาจในการบริหารเพียงผู้เดียวจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อธนาคารในอนาคต ดังนั้น กลุ่มรัตนรักษ์จึงยอมเสียสละลดฐานะจากผู้ถือหุ้นใหญ่ และสนับสนุนธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิในกระบวนการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญโดยสมัครใจ โดยกลุ่มรัตนรักษ์ไม่ได้ขายหุ้นแม้แต่หุ้นเดียว และยินดีที่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นกลุ่มรองที่มีความสำคัญและสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์และการเติบโตของกรุงศรีในระยะยาว


การเข้ามาถือหุ้นของธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิในกรุงศรีจะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์การขยายธุรกิจในอาเซียน ทั้งนี้ในบรรดาบริษัทในเครือของ MUFG การลงทุนในกรุงศรีผ่านบริษัทลูกของ MUFG คือธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ เป็นการลงทุนที่มีสัดส่วนสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย และเป็นการลงทุน
สูงอันดับสองทั่วโลก โดยเป็นรองจาก UnionBanCalCorporation ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา


นับจากปี 2557 นี้ไป ด้วยความเป็นผู้นำในระดับสากล การบริหารจัดการด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และฐานะการเงินที่มั่นคงของธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ จึงควรมั่นใจได้ว่าผลการดำเนินงานของกรุงศรีจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นแม้ว่าสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรง หรือกรณีภาวะเศรษฐกิจในประเทศและหรือต่างประเทศที่อาจไม่เอื้ออำนวย


ด้วยความมั่นใจในจุดแข็งของ MUFG ที่เข้ามาผสานกับกรุงศรี โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญเช่น เครือข่ายธุรกิจในระดับโลก ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ตลอดจนค่านิยมองค์กรในการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก วัฒนธรรมการทำงานอย่างมีวินัย มีความซื่อสัตย์ ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์และหลักบรรษัทภิบาล รวมถึงกลุ่มลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ภายหลังจากโอนกิจการของธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจจำกัด สาขากรุงเทพฯ ให้แก่ธนาคารตามนโยบายสถาบันการเงิน
1 รูปแบบของธนาคารแห่งประเทศไทย จึงจะเป็นพลังสำคัญให้กรุงศรีไขว่คว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และมีความพร้อมในการเริ่มศักราชใหม่สู่ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น


ทั้งนี้ ขอมอบความปรารถนาดีและขอต้อนรับกลุ่มมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ/ธนาคารแห่งโตเกียว- มิตซูบิชิ เพื่อเริ่มศักราชใหม่ของความสำเร็จที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้กรุงศรีก้าวต่อๆ ไป


สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธนาคารทุกท่านผู้บริหารและพนักงาน ซึ่งได้หล่อหลอมเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่และผลักดันให้เกิดความสำเร็จได้ตลอดเส้นทางอันสำคัญทั้งที่ผ่านมาและต่อไปในอนาคต


ที่มา  รายงานประจำปี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น